หากย้อนเวลาได้ สาวๆ หลายคนคงอยากให้ผิวหน้าของตนอ่อนเยาว์เหมือนสมัยเด็กๆ ใบหน้ามีความยืดหยุ่น
กระชับตึง เรียบเนียน และไร้ริ้วรอย แต่วันเวลาผ่านไปความเต่งตึงกระชับของใบหน้าค่อยๆ ลดลง
ตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น บ้างก็ว่าผิวขาดคอลลาเจน
จึงพยายามหาวิธีที่จะช่วยให้ผิวหน้ามีความกระชับ บอกลาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้น
แล้ววิธีแบบไหนที่จะเหมาะกับคุณ..........
พญ.ชนิดา ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม จาก Athena Clinic ชั้น 2
ไลฟ์เซ็นเตอร์ (อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี) มาเผยข้อมูลเรื่องความกระชับของผิวหน้าว่า ตั้งแต่อายุ 25 ปี
ผิวของเราเริ่มแสดงสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าผิวเริ่มมีอายุมากขึ้น ทำให้ผิวขาดความกระชับ โดยเริ่มมีริ้วรอยตื้นๆ
เกิดขึ้นก่อน หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะพัฒนาเป็นริ้วรอยที่มีขนาดใหญ่ และลึกขึ้นจนสังเกตได้จากภายนอก
คำว่าผิวขาดความกระชับและผิวขาดความยืดหยุ่นมีความหมายเหมือนกัน คือ เป็นสัญญาณของอายุ
ที่เริ่มมากขึ้นโครงสร้างผิวหนังโดยเฉพาะชั้นหนังแท้เริ่มสูญเสียเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความแข็งแรง ความกระชับ และความยืดหยุ่นของผิวหนัง
เมื่อโครงสร้างค้ำยันผิวไม่แข็งแรง ผิวจึงเกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย และขาดความกระชับ
สาเหตุมีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายใน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ได้แก่ การไหลเวียนของโลหิต
เมื่ออายุมากขึ้นระบบไหลเวียนของโลหิตที่จะนำสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิวเริ่มทำงานช้าลง
กรรมพันธุ์ เชื้อชาติ และสภาพผิวของแต่ละคน มีส่วนทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย สำหรับ
ปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดดและมลภาวะ บุหรี่ การรับประทานอาหาร การไม่ใส่ใจดูแลผิว เป็นต้น
การดูแลผิวอย่างถูกต้องเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถช่วยป้องกัน และแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอย
และการหย่อนคล้อยของผิวได้ คือ
- การทำความสะอาดผิว จะช่วยกำจัดสารเคมีที่อยู่ในเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกออกไปจากผิวหน้า
- การบำรุง เป็นการคืนความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว
- การปกป้องผิวจากแสงแดด ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB
แต่สำหรับคนที่อยากกระชับผิวหน้าแบบทางลัดด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ควรศึกษาข้อดี-ข้อเสีย
ของเครื่องแต่ละชนิด ก่อนการตัดสินใจ ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยกระชับผิวหน้าดังนี้
- การยกกระชับด้วยเลเซอร์ยกกระชับ (Tightening Laser): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ช่วยให้ริ้วรอยตื้นๆ ลดลง รูขุมขนกระชับขึ้น ช่วยให้ผิวหน้ากระชับและลดการหย่อนคล้อย
ข้อดี ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ราคาในการรักษาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น
ข้อเสีย ผลลัพธ์คงอยู่ไม่นาน ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน
- การยกกระชับด้วยคลื่นวิทยุเทคโนโลยีเทอร์มาจ (Thermage: Monopolar Radio Frequency):
เป็นการรักษาโดยส่งผ่านคลื่นวิทยุและความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนังชั้นลึก
ทำให้ผิวหนังแข็งแรงและยืดหยุ่นดีขึ้น ความหย่อนคล้อยและริ้วรอยลดลง
ข้อดี หลังทำการรักษาเพียงครั้งเดียว จะเห็นผลทันทีและเห็นผลมากขึ้นเมื่อผ่านไป 1-2 เดือน
และผลลัพธ์คงอยู่นาน 1-2 ปี
ข้อเสีย รู้สึกเจ็บขณะที่ทำ ราคาค่อนข้างสูง
- การยกกระชับด้วยเทคโนโลยีเครื่องโฟกัสอัลตราซาวน์อัลเทอรา (Ultherapy System):
เป็นการรักษาโดยส่งผ่านพลังงานคลื่นเสียงที่มีคลื่นความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง
ลงลึกถึงชั้นพังผืดกล้ามเนื้อ SMAS และชั้นคอลลาเจน
ข้อดี พลังงานลงลึกได้มากกว่า Thermage หลังทำการรักษาเพียงครั้งเดียว
จะเห็นผลทันทีและเห็นผลมากขึ้นเมื่อผ่านไป 1-2 เดือน และผลลัพธ์คงอยู่นาน 1-2 ปี
ข้อเสีย รู้สึกเจ็บขณะที่ทำ ราคาค่อนข้างสูง
- การยกกระชับใบหน้าและลำคอด้วยการฉีดโบท็อกซ์ (Nefertiti Lifting): โบท็อกซ์จะไปยับยั้ง
การทำงานของกล้ามเนื้อที่ดึงหน้าให้หย่อนคล้อย ส่งผลให้ใบหน้าดูยกกระชับอ่อนเยาว์ขึ้น
ทำให้รูปหน้า ขอบหน้า ชัดเจนสวยงามแลดูเรียวลง
ข้อดี เห็นผลที่ 1-2 สัปดาห์หลังฉีด ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ
ข้อเสีย ผลการรักษาจะอยู่ได้ไม่นานนัก ประมาณ 4-6 เดือนหลังการฉีด 1 ครั้ง
- การยกกระชับใบหน้าด้วยการฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ (Dermal Filler): การเลือกเติมฟิลเลอร์
ในกลุ่มไฮยาลูโรนิคเอสิดซึ่งนับว่ามีความปลอดภัยสูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรของผิวให้เติมเต็ม
ลดปัญหาร่องลึก เช่น ร่องแก้ม และร่องใต้ตา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าแลดูมีอายุ
ข้อดี การฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารไฮยาลูโรนิคเอสิดเพียง 1 ครั้ง จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที
และคงอยู่นานประมาณ 1 ปี โดยไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสีย อาจพบรอยเข็มหรือรอยเขียวช้ำจากการฉีดได้
- การยกกระชับใบหน้าด้วยไหมละลาย PDO (Thread Lifting): นำมาใช้รักษาความเหี่ยวย่น
และหย่อนคล้อยใต้ผิวหนังโดยหลังการร้อยไหม ภายใต้ผิวหนัง ไหมจะกระตุ้นการหดรัดตัว
และกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดการยกกระชับของผิวหนัง
ข้อดี ไหมจะละลายสลายตัวหมดได้เองภายในระยะเวลา 6-8 เดือน และผลการยกกระชับ
คงอยู่นานประมาณ 1 ปี
ข้อเสีย อาจพบอาการเจ็บ บวม หรือช้ำบริเวณที่ทำการร้อยไหมได้
ทั้งนี้ก่อนที่จะเลือกเทคโนโลยีแบบใดนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม
กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด
Share
21,774